‘แพะเงินล้าน’ ที่ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
กลุ่มอาชีพตำบลโพงามผลิตปุ๋ยมูลแพะ-ชุดผักพร้อมปลูก
ในยุคที่ข้าวของแพง-ค่าแรงต่ำ หมู ไก่ ไข่ และอาหารอื่นๆ พากันขยับราคา ทำให้เดือดร้อนกันทั้งคนซื้อและคนขาย แต่ยังมีสัตว์เศรษฐกิจชนิดหนึ่งคือ ‘แพะ’ ที่ยังซื้อง่ายขายคล่อง เพราะตลาดยังมีความต้องการสูง และส่วนใหญ่จะส่งไปขายที่ประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งพี่น้องมุสลิมที่นิยมรับประทานเนื้อแพะ เช่น ข้าวหมกแพะ แกงแพะ ซุปแพะ หรือแพะตุ๋นน้ำแดงแบบอาหารจีน ฯลฯ ราคาขายหน้าฟาร์ม (แพะเป็นทั้งตัว) ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 105-120 บาท !!
จังหวัดชัยนาทเป็นจังหวัดหนึ่งที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงแพะเนื้อ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ต้นทุนการเลี้ยงไม่สูง สามารถเลี้ยงแบบปล่อย ให้แพะหาหญ้ากินเอง หรือเลี้ยงแบบปิดในโรงเรือนเพื่อความสะดวกในการดูแล ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 4 เดือนก็ขายได้
ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท ระบุว่าในปี 2563 มีเกษตรกรในจังหวัดเลี้ยงแพะ 778 ราย รวม 30,883 ตัว อำเภอที่เลี้ยงแพะมากที่สุด คือ สรรคบุรีและสรรพยา แต่ปัจจุบันตัวเลขน่าจะสูงขึ้น เนื่องจากมีเกษตรกรรายใหม่ๆ สนใจหันมาเลี้ยงแพะกันมาก
“แพะเงินล้าน”
วิรักษ์ แตงงาม เจ้าของฟาร์มแพะ ‘วรัญญาฟาร์ม’ ตำบลโพงาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท เล่าว่า เมื่อ 30 ปีก่อนตนและภรรยามีอาชีพรับจ้างแบกข้าวเปลือกขึ้นรถบรรทุก ทำงานหนัก ร่างกายจึงทรุดโทรม แต่มีรายได้เพียงเดือนละ 6,000 บาท ต่อมาได้รับบาดเจ็บจากการแบกข้าวเปลือก จึงมองหาอาชีพใหม่ เห็นเพื่อนทำอาชีพเลี้ยงแพะเนื้อมีรายได้ดี ตนจึงมาศึกษาเรียนรู้ แล้วหากู้เงินมาลงทุนประมาณ 150,000 บาท นำมาสร้างโรงเลี้ยง ซื้อแพะรุ่นแรกมาเลี้ยงประมาณ 40 ตัว จากนั้นแพะก็ออกลูกออกหลาน เพิ่มจำนวนมากขึ้น ใช้เวลาประมาณ 2 ปีจึงปลดหนี้ที่กู้ยืมมาเลี้ยงแพะได้หมด
“ผมว่าเลี้ยงแพะดีกว่าเลี้ยงหมู เพราะลงทุนต่ำกว่า ค่าอาหารถูกกว่า อาจจะมีต้นทุนค่าโรงเรือนถ้าเลี้ยงระบบปิด แต่ก็จะดีกว่าการเลี้ยงแบบเปิด หรือเลี้ยงแบบไล่ต้อนให้แพะไปหากินหญ้าเอง เพราะเลี้ยงระบบปิดจะได้แพะที่มีคุณภาพ ควบคุมการเลี้ยงได้ ส่วนแพะที่ผมเลี้ยงเป็นพันธุ์บอร์ สายพันธุ์มาจากแอฟริกา จุดเด่นคือ เนื้อเยอะ โตเร็ว 4 เดือนก็จับขายได้ น้ำหนักประมาณตัวละ 30-35 กิโลฯ พ่อค้าจะมารับซื้อเอง ราคาขายหน้าฟาร์มตอนนี้ประมาณกิโลฯ ละ 105 บาท หรือตัวหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท” วิรักษ์บอก และว่าตอนนี้มีโรงเรือนเลี้ยงแพะอยู่ 3 โรง เคยเลี้ยงสูงสุดประมาณ 400 ตัว พ่อค้าจะมารับซื้อแล้วส่งไปขายที่ประเทศเวียดนาม ลาว
เจ้าของวรัญญาฟาร์ม แพะยิ้ม
ตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา วรัญญาฟาร์มเลี้ยงแพะไปแล้วนับร้อยรุ่น หากนับจำนวนคงอยู่ในระดับหมื่นตัว มูลค่าหลายสิบล้านบาท วิรักษ์จะสั่งพ่อพันธุ์แพะพันธุ์บอร์ (Boer) มาจากต่างประเทศ ราคาตัวหนึ่งประมาณ 240,000 บาท นำมาผสมกับแม่แพะสายพันธุ์ดี แม่แพะปีหนึ่งจะตั้งท้องได้ 2 ครั้งๆ หนึ่งจะให้ลูกประมาณ 2 ตัว ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 11-12 เดือน แพะก็พร้อมที่จะผสมพันธุ์ ออกลูกออกหลานอีก แพะที่มีลักษณะดี แข็งแรง สมบูรณ์ จะขายเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ราคาตัวหนึ่งไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท
“ส่วนอาหารหลักของแพะคือกระถินและหญ้าแห้งสับผสมกัน ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เสริมด้วยอาหารอื่น เช่น อาหารผสมสำเร็จรูป ข้าวโพดหมัก หญ้าแองโกล่า ถ้ามีพื้นที่ปลูกเองก็จะลดต้นทุนได้อีก นอกจากนี้ยังมีผลพลอยได้ คือมูลแพะ เอาไปผสมทำปุ๋ยอินทรีย์ จะมีคนมารับซื้อกระสอบละ 20 บาท กระสอบหนึ่งหนักประมาณ 15-20 กิโลฯ เดือนหนึ่งจะได้มูลแพะประมาณ 1 พันกระสอบ” วิรักษ์บอกถึงผลพลอยได้
โรงเลี้ยงแพะจะยกพื้นสูง เว้นระยะพื้นร่องเพื่อให้อากาศถ่ายเท และกวาดมูลแพะลงมาได้ง่าย เมื่อมูลแพะมีจำนวนมากจะขายเพื่อทำปุ๋ย
กลุ่มพัฒนาอาชีพตำบลโพงามต่อยอดผลิตปุ๋ยมูลแพะ
พงศ์รัตน์ ยันบัวเงิน ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาอาชีพตำบลโพงาม บอกว่า ชาวบ้านตำบลโพงามส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา อาชีพรองคือการเลี้ยงแพะ และมีอาชีพเสริม เช่น ทำไม้กวาด ในปี 2563 มีหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เข้ามาจัดทำโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยสนับสนุนให้ชุมชนสำรวจข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหา เพราะตำบลโพงามถือว่าเป็นตำบลที่ชาวบ้านมีปัญหาความยากจนมากที่สุดในอำเภอสรรคบุรี
“เราเอาข้อมูลที่สำรวจมาวิเคราะห์ พบว่าชาวบ้านในตำบลโพงามส่วนใหญ่ทำนา แต่มีรายได้น้อย มีต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ขณะที่ในตำบลมีการเลี้ยงแพะกันมาก มีปัญหาเรื่องกลิ่นจากมูลแพะ เราจึงคุยกันเรื่องจะเอามูลแพะมาทำปุ๋ยใส่ในไร่นา ใส่แปลงผักสวนครัว รวมทั้งทำปุ๋ยขายเพื่อเป็นอาชีพด้วย” ประธานกลุ่มบอกถึงจุดเริ่มต้น
จากนั้นในช่วงกลางปี 2564 จึงเริ่มต้นทำปุ๋ยจากมูลแพะ โดยไปพูดคุยกับ วิรักษ์ แตงงาม เจ้าของฟาร์แพะ ‘วรัญญาฟาร์ม’ เพื่อติดต่อขอซื้อมูลแพะ วิรักษ์เมื่อรู้วัตถุประสงค์ของกลุ่มวิสาหกิจฯ จึงขายมูลแพะให้ในราคาพิเศษ จากปกติที่ขายทั่วไปราคากระสอบละ 20 บาท (15-20 กิโลกรัม) เป็นกระสอบละ 8 บาท โดยกลุ่มฯ จะมาเก็บมูลแพะใส่กระสอบเอง
“แพะ 1 ตัวจะถ่ายมูลออกมาประมาณวันละ 4 กิโลฯ หากฟาร์มไหนเลี้ยงแพะ 100 ตัว วันหนึ่งๆ จะได้มูลแพะประมาณ 400 กิโลฯ ในอำเภอสรรคบุรีมีคนเลี้ยงแพะกว่า 100 ราย มีทั้งรายเล็กรายใหญ่ เลี้ยงแบบฟาร์มปิดและไล่ต้อน แต่มูลแพะที่เอามาทำปุ๋ยจะเอามาจากฟาร์มปิด เพราะเก็บได้ง่าย เอามาทำปุ๋ยได้ตลอดปี” ประธานกลุ่มฯ บอกถึงวัตถุดิบที่ไม่มีวันหมด
มูลแพะที่ไม่มีวันหมด กลุ่มพัฒนาอาชีพตำบลโพงามสามารถรวบรวมนำมาทำปุ๋ยเดือนหนึ่งได้ประมาณ 10 ตัน
ส่วนวิธีการผลิตปุ๋ยมูลแพะนั้น กลุ่มได้รับความรู้มาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสูตรปุ๋ยหมักไม่กลับกอง หรือ ‘วิศวกรรมแม่โจ้ 1’ อัตราส่วน 1 ต่อ 4 ส่วน (มูลแพะ 1 เข่ง ฟางก้อน 4 เข่ง) โดยกลุ่มจะผลิตครั้งหนึ่งจำนวนมาก โดยนำมูลแพะจำนวน 1,500 กิโลกรัมมาหมักกับฟาง 500 ก้อน
วิธีการ คือ นำฟางมาวางเรียงบนลานกว้างประมาณ 2.5 เมตร ความยาวไม่จำกัด เรียงฟางให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร จากนั้นนำมูลแพะมาเทเกลี่ยให้ทั่วกองฟาง รดน้ำ แล้วนำฟางมาคลุม ใส่มูลแพะ รดน้ำ ทำสลับแบบนี้จนได้กองปุ๋ยหนา 12 ชั้น (กองเป็นรูปสามเหลี่ยม สูงประมาณ 1.5 เมตร)
จากนั้นต้องรดน้ำภายนอกทุกวันๆ ละ 1 ครั้ง และรดน้ำภายในทุกๆ 10 วัน โดยเจาะกองปุ๋ยให้เป็นรูทั่วทั้งกอง ห่างกันรูละ 40 เซนติเมตร แล้วรดน้ำลงไปในรู เสร็จแล้วปิดรู ทำแบบนี้ตลอดระยะเวลา 3 เดือน มูลแพะและฟางภายในกองจะย่อยสลาย จากนั้นจึงนำปุ๋ยมากองในร่มผึ่งให้แห้ง แล้วนำมาร่อนเพื่อเอาสิ่งเจือปนออก ขั้นตอนสุดท้ายคือนำมาบรรจุถุงหรือนำมาทำเป็นปุ๋ยอัดเม็ดนำไปใช้หรือจำหน่ายได้
“กลุ่มของเรามีสมาชิก 112 คน สมาชิกจะต้องลงหุ้นๆ ละ 100 บาท คนหนึ่งไม่เกิน 10 หุ้น เพื่อเอามาเป็นทุนในการผลิตปุ๋ย ตอนนี้มีเงินกองทุนประมาณ 1 แสนบาท เวลาจะทำปุ๋ยเราก็จะนัดให้สมาชิกมาช่วยกัน ใครมีเวลาว่างก็จะมาช่วยกันทำ เราให้ค่าแรงเพื่อให้สมาชิกมีรายได้วันละ 200-300 บาทตามสภาพงาน เช่น รวบรวมมูลแพะจากฟาร์ม ทำกองปุ๋ย รดน้ำปุ๋ย ร่อนปุ๋ย บรรจุปุ๋ยใส่ถุง เวลาทำปุ๋ยครั้งหนึ่งจะมีสมาชิกมาช่วยกันประมาณ 10 คน” ประธานกลุ่มบอก
สมาชิกกลุ่มช่วยกันบรรจุปุ๋ยที่แห้งและร่อนเอาสิ่งเจือปนออกแล้ว
ชี้ช่องทางสร้างเศรษฐกิจชุมชน
ด้านการผลิตและจำหน่ายนั้น พงศ์รัตน์ ยันบัวเงิน ประธานกลุ่มบอกว่า ขณะนี้ถือว่ากลุ่มยังอยู่ในระยะเริ่มต้น มีผลิตภัณฑ์หลัก คือ 1.วัสดุปรับปรุงคุณภาพดินคุณภาพสูง สูตรแม่โจ้ 1 (ปุ๋ยมูลแพะ) สำหรับปลูกผัก ต้นไม้ ทำให้ดินร่วน รากเดินดี พืชเจริญเติบโตไว บรรจุถุงละ 1 กิโลกรัม ราคา 79 บาท จำหน่ายในเฟสบุคส์ และห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ 2.ชุดพร้อมปลูก ประกอบด้วย เมล็ดพันธุ์ผัก ปุ๋ยมูลแพะผสมดิน กระถางใยมะพร้าว ราคาชุดละ 129 บาท และ 3.มูลแพะบรรจุถุง ราคากิโลกรัมละ 30 บาท จำหน่ายให้แก่สมาชิก เกษตรกรทั่วไป ชาวไร่ ชาวนา เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมี
นำมูลแพะบรรจุถุงและชุดพร้อมปลูกไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าที่กรุงเทพฯ ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
“ข้อดีของปุ๋ยอินทรีย์จากมูลแพะคือ ช่วยบำรุงให้พืชโตไว โดยเฉพาะพืชผักจะมีใบเขียวสวย ไม่มีสารเคมีตกค้าง และราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมีประมาณกิโลฯ ละ 10 บาท และนอกจากจะผลิตปุ๋ยจากมูลแพะแล้ว กลุ่มของเรายังมีแผนจะปลูกผักอินทรีย์จำหน่าย โดยใช้ปุ๋ยมูลแพะของเราที่มีอยู่แล้ว จะทำให้ลดต้นทุนการปลูกได้อีก” ประธานกลุ่มบอกถึงแผนงานต่อไป
ขณะที่ วิรักษ์ แตงงาม เจ้าของฟาร์มแพะบอกว่า ยินดีให้คำแนะนำแก่เกษตรกรที่สนใจจะเลี้ยงแพะแบบฟาร์มปิด สามารถมาศึกษาหาความรู้ได้ที่ฟาร์มวรัญญา หากเริ่มต้นเลี้ยงจะมีต้นทุนประมาณ 1 แสนบาทเศษ เช่น ค่าก่อสร้างโรงเรือนแบบยกพื้น (ประมาณ 7 x 10 ตารางเมตร) 35,000 บาท ค่าพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ 5 คู่ ๆ ละ 15,000 บาท
“หากเริ่มเลี้ยงครั้งแรก จะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือนก็สามารถขายแพะรุ่นแรกได้ ตลาดนิยมแพะเนื้อที่มีอายุประมาณ 4 เดือน น้ำหนักประมาณ 16-20 กิโลฯ เพราะเป็นแพะหนุ่มสาว เนื้อมีความนุ่ม ราคาหน้าฟาร์ม (แพะเป็นทั้งตัว) กิโลฯ หนึ่งประมาณ 105 บาท ส่วนพ่อพันธุ์–แม่พันธุ์จะเลี้ยงใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 7-8 ปี แม่แพะปีหนึ่งจะออกลูกได้ 2 ครั้ง โรคก็ไม่ค่อยมี อาหารหลักคือกระถินกับหญ้าแห้งสับ ต้นทุนไม่สูง แพะจึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่าส่งเสริม” เจ้าของฟาร์มวรัญญาบอก
โรงเลี้ยงแพะจะยกพื้นสูง ด้านข้างโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นจะเว้นให้มีระยะร่อง เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด และกวาดมูลแพะลงไปข้างล่าง
ดร.จรรยา กลัดล้อม ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดชัยนาท กล่าวว่า การผลิตปุ๋ยของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาอาชีพตำบลโพงามถือเป็นนวัตกรรมของชุมชนที่น่าสนใจ เพราะสามารถนำเอาฟางข้าวที่เหลือจากการทำนาและมูลแพะที่มีปัญหาส่งกลิ่นรบกวนชาวบ้านมาสร้างมูลค่า โดยนำมาผลิตเป็นปุ๋ยมูลแพะ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่สมาชิก
“จังหวัดชัยนาทมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเพื่อช่วยเหลือสมาชิกตั้งแต่เกิดจนตายครบทุกอำเภอ ครบทุกตำบลแล้ว หากมีการเชื่อมโยงกองทุนสวัสดิการกับกลุ่มอาชีพต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการเลี้ยงแพะ นำมูลแพะมาใช้ประโยชน์ เพื่อลดต้นทุนในการทำนา และสร้างรายได้จากมูลแพะ ก็จะทำให้กองทุนสวัสดิการฯ และกลุ่มอาชีพเติบโตขึ้น สามารถช่วยเหลือสมาชิกได้มากขึ้นด้วย” ดร.จรรยาบอกทิ้งท้าย
(เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ติดต่อฟาร์มวรัญญา facebook.com/ววรัญญา-ฟาร์ม และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาอาชีพตำบลโพงาม facebook.com/PHO-G-โพธิ์-จี-)