ตำบลห้วยปริก อยู่ในพื้นที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในอดีตห้วยปริกเป็นที่รกร้างเต็มไปด้วยพันธุ์นานาชนิด อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ ทั้งพันธ์ที่ขึ้นในที่ดอนและที่ลุ่มตามสภาพของพื้นที่ ที่เป็นที่ราบเชิงเขา
จากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อน เล่าไว้ว่ามีเส้นทางเดินเท้าจากสุราษฎร์ธานี ไปยังเมืองนครศรีธรรมราช ผ่านมาทางห้วยปริก กะเปียด เคยมีพระเจ้าแผ่นดินเสด็จ (แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระองค์ใด) ผ่านและโปรดให้สร้างสำนักพักแรม (ปัจจุบันเรียกที่แห่งนี้ว่าสำนักเปล่า อยู่ในหมู่ที่ 4) เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่เรียกเส้นทางสายนี้ว่า “ทางหลวง” ปัจจุบันไม่มีแล้ว
ในช่วงปี 2562 พื้นที่ตำบลห้วยปริก ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยเฉพาะด้านเกษตรกรรม สภาองค์กรชุมชนตำบลห้วยปริก จึงเสนอแผนงานต่อองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยปริก และภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แผนงาน รักน้ำรักป่ารักแผ่นดิน บูรณการงานในทุกมิติเพื่อแก้ปัญหา และพัฒนา
ทั้งนี้ มีแนวทางการรับมือปัญหาภัยแล้งในไทย ด้วยฝายชุมชนโครงการซ่อมและสร้างฝายกักเก็บน้ำในลำห้วยปริก บ้านพรุขี้เกลาหมู่ที่ 6 ตำบลห้วยปริก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ
ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานออกมาย้ำเตือนถึงปัญหาภัยแล้งว่า ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก และอาจเป็นปีที่ไทยต้องเผชิญผลกระทบจากการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรมากที่สุดปีหนึ่ง โดยกรมชลประทาน เปิดเผยว่า มีข้อบ่งชี้หลายอย่างว่าสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้จะรุนแรงและยาวนานกว่าทุกปีและอาจรุนแรงกว่าปี 2537 ที่ขาดแคลน น้ำอย่างหนัก โดยเฉพาะปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่มีความแปรปรวนสูง รวมทั้งปรากฏการณ์เอลนินโญทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงไปถึงกลางปี” (http://thainews.prd.go.th)
สถานการณ์เหล่านี้นอกจากภาคราชการจะต้องเร่งเข้ามาเยียวยาแล้ว สภาองค์กรชุมชนเล็งเห็นว่า ตัวชุมชนเองก็ต้องเท่าทันและประเมินสถานการณ์ให้ได้ว่าภาวะดังกล่าวจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของตนอย่างไร และต้องผนึกกำลังกันทุกภาคส่วนดำเนินการอย่างแข็งขันจัดการกับวิกฤตการณ์ดังกล่าว กรณีตัวอย่างที่ชุมชนลุกขึ้นมาวางระบบการจัดการน้ำชุมชนที่น่าสนใจอีกพื้นที่หนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราชคือบ้านพรุขี้เกลา หมู่ที่ 6 ตำบลห้วยปริก อำเภอฉวาง
บ้านพรุขี้เกลา ตำบลห้วยปริก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง มีประชากรจำนวน 802 คน ปัญหาหลักที่บ้านห้วยปริกเผชิญคือน้ำบ่อและแหล่งน้ำดิบที่ใช้สำหรับผลิตน้ำประปาหมู่บ้านลดปริมาณลงอย่างมาก ชุมชนจึงได้หารือกันในเวทีประชาคมถึงวิธีจัดการน้ำให้เพียงพอพอสำหรับการอุปโภคและบริโภคในชุมชน และตกลงที่จะใช้วิธีการทำฝายหมู่บ้านและบรรจุไว้ในแผนแม่บทชุมชน ทั้งนี้เพราะจากการศึกษาข้อมูลการแก้ปัญหาเรื่องการจัดการน้ำหลายชุมชนใช้ฝายขนาดเล็กแล้วประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
ชุมชนจึงได้ของบประมาณสนับสนุนจากโครงการ SML จนสามารถดำเนินการสร้างฝายหมู่บ้านเพื่อกักเก็บน้ำในลำห้วยปริกได้จำนวน 3 จุด และต่อมาเมื่อโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (ศพช.)หรือโครงการชุมชนพอเพียงเปิดโอกาสให้ชุมชนเขียนโครงการ ประชาคมบ้านพรุขี้เกลาจึงได้เสนอโครงการสร้างฝายกักเก็บน้ำในลำห้วยปริกเพื่ออีก 1 จุด และซ่อมแซมฝายทั้ง 3 ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
โครงการสร้างฝายกักเก็บน้ำในลำห้วยปริก 1 จุด ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 117,035 บาท และโครงการซ่อมฝายกักเก็บน้ำในลำห้วยปริกจุดที่ 1,2 และ 3 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 132,965 เป็นโครงการประเภทสนับสนุนและส่งเสริมการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว
มีกลไกการดำเนินงาน 2 ชุด ประกอบด้วยคณะกรรมการกลางมีหน้าที่จัดซื้ออุปกรณ์ วัสดุในการก่อสร้าง ควบคุมการก่อสร้าง ตรวจสอบการก่อสร้าง และคณะกรรมการเขตจำนวน 9 เขต มีหน้าที่ดูแลรักษาและบำรุงฝาย เช่น การปลูกต้นไม้ริมฝาย การเฝ้าระวังผู้ลักลอบจับปลาผิดวิธี และการรักษาความสะอาดบริเวณฝาย การก่อสร้างและซ่อมแซมฝายจะใช้แรงงานในชุมชนช่วงที่ว่างเว้นจากการทำภารกิจส่วนตัว อย่างไรก็ตามชุมชนที่มาร่วมก่อสร้างได้สละค่าแรงของตนสมทบเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์จำนวน 8,000 บาท
ผลที่ได้รับจากการสร้างฝายมีทั้งผลโดยตรงที่สัมพันธ์กับเรื่องน้ำอุปโภคบริโภค กล่าวคือชุมชนได้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี บ่อน้ำตื้นเริ่มมีน้ำมากขึ้น มีแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้ตลอดทั้งปี มีการปล่อยพันธุ์ปลาและอนุรักษ์พันธุ์ปลา และเปิดโอกาสให้ชุมชนจับปลาครั้งใหญ่ปีละ 1 ครั้ง และผลโดยอ้อม เช่น เกิดสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของชุมชน เป็นที่นั่งเล่น ที่จัดกิจกรรมประเพณีลอยกระทง เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักศึกษาการศึกษานอกโรงเรียน ผู้สูงอายุมีกิจกรรมยามว่างเลี้ยงปลาในกระชัง ชุมชนมีอาชีพเสริมคือการปลูกผักสวนครัว และที่สำคัญชุมชนมีความมั่นใจว่าชุมชนมีศักยภาพที่จะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในชุมชนได้
เมื่อชาวบ้านพรุขี้เกลาได้เห็นถึงประโยชน์ของฝายชุมชน จึงมีความต้องการที่จะสร้างฝายให้ตลอดไปทั้งลำห้วยปริก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากทุนของพื้นที่ ซึ่งสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้หรือจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการทำฝายได้ จึงมีข้อเสนอว่าหากชุมชนสามารถจัดกิจกรรมให้ราษฎรมาใช้ประโยชน์จากฝายในด้านนันทนาการมากขึ้น เช่น การจัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาประเพณีทางน้ำ รวมทั้งการพัฒนากระบวนการเรียนรู้กับนักเรียนในระบบด้านการจัดการน้ำของชุมชน เช่น กิจกรรมเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ กิจกรรมนักสืบสายน้ำ ก็จะทำให้ฝายกักเก็บน้ำในลำห้วยปริกมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการตรวจตราดูแล การอนุรักษ์ การเพิ่มปริมาณพื้นที่ป่าต้นน้ำก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน
ส่วนสภาองค์กรชุมชนได้จัดทำข้อเสนอการพัฒนาตำบลเสนอต่อองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยปริก ซึ่ง ได้รับการบรรจุในแผนพัฒนาท้องถิ่น 4 ปี (ปี 2561 – 2564) ได้แก่ (1) โครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตำบลห้วยปริก จำนวน 20,000 บาท เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุรภาพชีวิตที่ดีขึ้น (2) โครงการรักน้ำป่ารักแผ่นดิน จำนวน 20,000 บาท เพื่อเป็นการรักษาต้นน้ำพื้นที่ป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์ (3) สนับสนุนกิจกรรมกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลห้วยปริก จำนวน 50,000 บาท เพื่อใช้ดำเนินงานของกิจกรรมกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลห้วยปริกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นรูปธรรมที่ชุมชนลุกขึ้นมาแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ด้วยวิธีการง่าย ๆ เริ่มต้นจากการกระหนักร่วมกันถึงปัญหา ค้นหาทางออกที่สอดคล้อง อาศัยองค์ความรู้จากภายนอกมาผสมผสานกับความรู้ในชุมชน ลงมือทำจากเรื่องเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ต่อยอด ขยายวงกว้างออกไป ดึงทรัพยากรจากภายนอกมาหนุนเสริมให้ถูกจังหวะ และปัญหาการขาดแคลนน้ำ ก็จะสามารถคลี่คลายไปได้ด้วยพลังแห่งความร่วมมือ
ผู้ประสานงาน นายวรชาติ ชุมชอบ
บ้านเลขที่ 123 หมู่ 1 ตำบลห้วยปริก อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช โทร.087-2731996