กรุงเทพมหานคร / วันนี้ 14 กันยายน 2565 เวลา 09.30 น – 12.00 น. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) โดยสำนักงานภาคกรุงเทพฯปริมณฑล และตะวันออก ร่วมกับ สำนักงานทรัพยากรบุคคล จัดเวที “เปิดโลกทัศน์ เตรียมความพร้อม เติมความรู้ ผู้ปฏิบัติงาน พอช.” ณ ห้องประชุมไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนองค์การมหาชน และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านโปรแกรม ZOOM และมีการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Thailand’s Soft Power กับ BCG Economy Model พลังการเปลี่ยนแปลงเพื่อการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ” โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นองค์ปาฐกถา ซึ่งมี นายธนัช นฤพรพงษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าวให้การต้อนรับและกล่าวเปิดเวที โดยผู้นำขบวนองค์กรชุมชน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค กว่า 60 คน ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ธนัช นฤพรพงษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าวว่า ใน 4-5 ปีที่ผ่าน การพัฒนาการด้านความรู้มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก พอช.ต้องเรียนรู้ให้ไว ไม่ใช่แค่ไม่ทันชาวบ้าน แต่เราจะไม่ทันโลก เราปฏิเสธไม่ได้ว่าคน พอช. ถ้าไม่รอบรู้ทุกเรื่อง เราจะทำงานไม่ได้ แล้วเราควรจะรอบรู้เรื่องไหน ควรจะรู้ว่าเรื่องไหนที่ควรจะต้องพัฒนา บางเรื่องรู้แค่ Basic บางเรื่องต้อง Development บางเรื่องต้อง Expert สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำพวกเราก็คือ เราอยู่นิ่งๆ ไม่ได้แล้ว ต้องเอาจริงเอาจังกับการเรียนรู้ นอกจากความรู้ในสายงานแล้ว ต้องเรียนรู้ความรู้รอบตัวทั้งหลายทุกมิติ
“Thailand’s Soft Power กับ BCG Economy Model”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.อว. ได้กล่าวถึง “เมื่อโลกไม่ใช่ใบเดิม” เรากำลังอยู่ในโลกที่ไม่ใช่ใบเดิม ปัจจุบันโลกอยู่ในยุคของ Disruption ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น แต่การดิสรัปชันยังรวมถึงประเด็นต่างๆ ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยสามารถแบ่งยุคดิสรัปชันออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
ยุค Globalization-Driven Disruption เป็นยุคของโลกาภิวัตน์ที่เชื่อมให้ทุกคนกลายเป็นพลเมืองโลก
ยุค Technology-Driven Disruption ยุคเทคโนโลยีดิสรัปชันในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม การใช้ชีวิต การทำงานและทำให้พลเมืองโลกได้เรียนรู้อะไรต่างๆ
ปัจจุบัน ยุค Crisis-Driven Disruption เป็นโลกแห่งวิกฤติที่เชื่อมต่อโลกให้เกิดเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ‘หนึ่งโลก หนึ่งชะตากรรมร่วม’ อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่วิกฤติโควิด-19 เท่านั้นที่เป็นชะตากรรมร่วมของคนในยุคนี้ แต่ยังมีวิกฤติสภาวะภูมิอากาศโลกที่ทำให้คนเผชิญปัญหาเดียวกัน
หนึ่งโลกหนึ่งชะตากรรมร่วม
เราอยู่ในโลกที่จากนี้ไปสุขก็จะสุขด้วยกันทุกข์ก็จะทุกข์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ปัญหาของเราที่เกิดภายใต้โลกที่เชื่อมต่อกันสนิทนั้น มีเรื่องของความไร้สมดุลต่างๆ มากมาย เป็นความไร้สมดุลระหว่างกลุ่มเศรษฐกิจต่างๆ ด้านของภูมิเศรษซชฐศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ ก็นำมาสู่ความขัดแย้งมากมาย เป็นความไร้สมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างที่เราเห็นกัน ความไร้สมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืน ตอนนี้เรากำลังอยู่ในโลกที่มีความท้าทายมากมาย ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่ยั่งยืน หรือที่เราเรียกว่า “หนึ่งโลกหนึ่งชะตากรรมร่วม”
หลังจากที่วิกฤติโควิดเริ่มซาตัวลง เราเริ่มเห็นวิกฤตของเรื่อง Supply Chain เช่น วิกฤตเรื่องพลังงาน เรื่องอาหาร เรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะนำมาสู่เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่างๆ จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น สู่โมเดลการขับเคลื่อนประเทศไทยในโลกหลังโควิด-19 โดย ดร.สุวิทย์มองว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยพยายามขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี ตลอดจนแผนปฏิรูปฯ ต่างๆ แต่ปรากฏว่าในช่วงเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมา การขับเคลื่อนเหล่านี้มีความคืบหน้าน้อยมาก
ดร.สุวิทย์กล่าวต่อว่า ยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปเป็นเรื่องไกลตัวประชาชน ทำอย่างไรให้เป็นเรื่องใกล้ตัว จับต้องได้ และทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนต้องการมีส่วนร่วม ภาครัฐคิดว่าตัวเองเป็นคุณพ่อรู้ดี แต่ไม่เคยมีแผนบอกประชาชนว่าเกี่ยวอะไรกับเขา ใกล้ตัวเขาหรือไม่
ที่ผ่านมาในประเทศไทยเราเสียเวลาไปกับการทะเลาะกันจนก่อให้เกิด “สังคม 2 ขั้ว” เช่น กรณีเสื้อเหลือง เสื้อแดง คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ ทางการเมืองก็จะมีกลุ่มที่เป็นประชาธิปไตย และกลุ่มที่เป็นอนุรักษ์นิยม ในส่วนนี้ปัญหาของประเทศไทย เราจะก้าวข้ามปัญหานี้ได้อย่างไร ? ในพร้อมกันนั้นประเทศไทยเราเองชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น เช่นเปรียบเทียบประเทศไทยกับสิงค์โปร เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร หากเรายังมองดูถูกกันเองอยู่แบบนี้ถึงเวลาที่ต้องพิจารณาประเทศไทยในมุมมองใหม่ๆ เราต้องมองประเทศไทยในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบหรือแง่ดีมากกว่าแง่ร้าย และมองจากโอกาสมากกว่ามองจากปัญหาได้อย่างไร ?
“เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยก็ต้องปรับ” หรือเราอาจจะมองได้ว่า “เมื่อไทยปรับ โลกอาจจะเปลี่ยน”
ประเทศไทยอาจจะมีบทบาทสำคัญในการกู้วิกฤตโลก ผ่านเรื่องของ BCG ผ่านเรื่องของ Soft Power ของเราหรือไม่ สิ่งสำคัญคือต้องสร้างความหึกเหิม ไม่มีที่ว่างให้สำหรับฝันเล็กๆ หรือ “No Rule for small Dream” โจทก์ที่สำคัญคือเราต้องหาจุดพลิกเกม ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องปฏิรูปเชิงระบบครั้งใหญ่ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปฏิรูปครั้งเดียวคือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็น The Great Reform ครั้งที่ 1 โดยปรับเพื่อรับภัยคุกคามจากภายนอกเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันเราต้องสร้าง The Great Reform ครั้งที่ 2 แต่ปัจจุบันมีแรงปะทุจากภายใน และแรงกดดันจากภายนอกบีบให้ปฏิรูปด้วยเช่นกัน ปัญหาประเทศไทยตั้งแต่ความเปราะบาง ความไร้สมดุลและกับดักหนี้ มีปัญหาหมักหมมซับซ้อนมาก เราต้องหาจุดคานงัดการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันประเทศไทยมีแต่แผนยุทธศาสตร์ แต่ไม่มีแผนขับเคลื่อนอย่างแท้จริง (Action Plan) คำถามคือ ทำอย่างไรให้สามารถทำได้จริง ?
แผนปฏิรูปและวาระส่วนใหญ่คิดโดยรัฐและขับเคลื่อนโดยส่วนกลาง ดังนั้นต้องทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในรูปแบบ โดยอาจจะเริ่มต้นที่ส่วนกลาง แต่หัวใจต้องอยู่ที่พื้นที่ เพราะอัตลักษณ์พื้นที่ถ้ามีโอกาสขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองจะเติบโตเป็นดอกเห็ดและดีกว่าขับเคลื่อนด้วยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ซึ่งการปฏิรูปในส่วนนี้ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. มีความเกี่ยวข้องโดยตรง
BCG (Bio-Circular-Green Economy) จะเป็น New Growth Engine ของประเทศไทยหลังโควิด เพราะถ้าย้อนดูที่ผ่านมาประเทศไทยแต่ละช่วงจะมี Growth Engine ที่แตกต่างกัน อย่างยุคเปลี่ยนวิกฤติพลังงานสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลคือ Eastern Seaboard ต่อมาเจอภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ จนประกาศเปลี่ยนแนวคิดสนามรบเป็นสนามการค้า แต่ ณ วันนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 4.0 จึงต้องใช้โมเดล BCG ซึ่งตั้งบนหลักคิด 3 ประการ ดังนี้
- สร้างความเข้มแข็งจากภายใน เชื่อมไทยสู่ประชาคมโลก
- เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
- น้อมนำหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ BCG ยังเป็นโมเดลที่เน้นการเติบโตที่สมดุล ทั่วถึงและยั่งยืน รายละเอียด ดังนี้
1.อาศัยจุดแข็งของความหลากหลายเชิงชีวภาพและวัฒนธรรม
2.การกระจายตัวของสาขายุทธศาสตร์และอุตสาหกรรมเป้าหมายในจำนวนพอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป
3.การกระจายตัวของผู้ประกอบการ ครอบคลุมผู้ประกอบการในระดับฐานราก วิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายใหญ่และสตาร์ทอัพ
4.การเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น เศรษฐกิจภูมิภาค ระดับประเทศและเศรษฐกิจโลก
5.สร้างสมดุลระหว่างการนำเข้าเทคโนโลยี กับการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ
ดร.สุวิทย์ กล่าวต่อว่า โมเดล BCG จะช่วยให้ประเทศไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ และกับดักความขัดแย้งไปพร้อมกัน เนื่องจาก BCG ไปตอบโจทย์ความมั่นคง 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ อาหาร พลังงาน และรายได้-การมีงานทำ ขณะเดียวกันในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG จะทำให้เกิดผู้เล่นใหม่ๆ ตั้งแต่รายย่อยจนถึงระดับกลาง และระดับใหญ่ โดยแบ่งเป็นการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ ดังนี้
ภาคเหนือ เช่น การยกระดับข้าวด้วยนวัตกรรม, ระบบเกษตรปลอดภัยสำหรับการส่งออก, ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงวัฒนธรรม, นำวัฒนธรรมเชิงพื้นที่ เช่น วัฒนธรรมล้านนามาสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ พัฒนาสินค้าและบริการ
ภาคอีสาน เช่น โปรตีนทางเลือกจากแมลง, ระบบแก้ไขปัญหาและป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในตับ, ระบบบริหารจัดการแหล่งน้ำชนาดเล็ก, ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามวิถีวัฒนธรรม
ภาคตะวันออก เช่น พัฒนาผลผลิตทางด้านการเกษตรโดยเฉพาะกลุ่มไม้ผล, การพัฒนาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมอนาคต, สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ภาคกลาง เช่น ประเทศไทยไร้ขยะ, นวัตกรรมเพื่อสังคมสูงวัย, นวัตกรรมเพื่อการต่อยอดกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ภาคใต้ เช่น นวัตกรรมด้านฮาลาล, การท่องเที่ยวมูลค่าสูงใน 3 จังหวัดภาคใต้, นวัตกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ Precision Aquaculture, นำเสนอเรื่องราวของปักษ์ใต้ยุคใหม่พัฒนาพื้นที่และกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงพหุวัฒนธรรม
“BCG เป็นการให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลงไประดับพื้นที่ ภาค จังหวัด และชุมชน ถ้าระบบราชการโดยเฉพาะ อบต. อบจ. ผู้ใหญ่บ้าน สามารถทำในระบบ BCG ได้ดีจะเกิดความยั่งยืนในตัวของมันเอง เกิดชุมชน BCG ตามนิยามของผมคือมีระบบน้ำ พลังงานไฟฟ้าชุมชน แหล่งน้ำชุมชน นวัตกรรม ปลูกไม้มีค่า เอาธุรกิจชุมชนและคนรุ่นใหม่มาทำมาหากิน ตลาดกลาง BCG และกองทุน BCG ทุกคนมีบ้านมีที่ดินทำกิน เพราะรากฐานของประเทศคือความเข้มแข็งของชุมชน”
จากนี้ไปตัวขับเคลื่อนสำคัญคือทุนของทนุษย์และเทคโนโลยี ในบริบทของ พอช. คือ จะทำอย่างไร ให้ลงทุนในทุนมนุษย์ทุนสังคม ฟื้นฟูทุนมนุษย์ให้มาอยู่ที่ระดับชุมชน และในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึง ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป
ดร.สุวิทย์กล่าวต่อว่า BCG คือการต่อจิ๊กซอว์หลายส่วน ตั้งแต่เกษตรที่ยึดโยงอาหาร พลังงาน และสุขภาพ บางส่วนยึดโยงกับการท่องเที่ยว ทั้งหมดจะต้องมีอุตสาหกรรมพื้นฐานในพื้นที่ ไม่ว่าสุขภาพ การแพทย์ ท่องเที่ยว บริการ การค้า และธุรกิจดิจิทัลเพื่อให้เชื่อมต่ออุตสาหกรรมต่างๆ
“หัวใจของ BCG คือชุมชน ถ้าเราทำให้ชุมชนในประเทศไทยแข็งแรงขึ้นมาได้ สานพลังชุมชน จะก่อให้เกิดพลังอันมหาศาล ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ หากประเทศไทยสามารถผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการเมือง ควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างจริงจัง โอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง เป็นประเทศที่พัฒนาอย่างยั่งยืน ก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
Soft Power ของประเทศไทย
เวลาเราพูดถึงตักศิลาของ Soft Power คงจะหนีไม่พ้นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ คำว่า “Global Culture” ของสหรัฐอเมริกานั้นครอบคลุมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางด้านไอที เช่น Amazon, Apple, Facebook, Google, Uber มิติทางด้านความบันเทิง เช่น Disney, Netflix มิติทางด้านอาหารการกิน เช่น Coke, McDonald’s, Starbucks, KFC หรือแม้กระทั่งมิติทางด้านการศึกษา การวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สิ่งเหล่านี้คือ Soft Power ที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจาก Hard Power ที่มีอยู่
ในทำนองเดียวกันกับอังกฤษ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมไปสู่โลกที่ทันสมัย Soft Power ของอังกฤษครอบคลุมถึงการวางตัวแบบผู้ดีอังกฤษ ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลใช้กันทั่วโลก ต้นแบบของความเป็นนิติรัฐ หรือสัญญาประชาคมอย่าง “Magna Carta” ที่กษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายและประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน ต้นแบบ Banking & Finance ผ่าน “City of London” หรือในด้านกีฬา อย่างฟุตบอล กอล์ฟ รักบี้ และคริกเกต
ดังนั้นเราจะต้องมาพิจารณาว่าประเทศไทยมี Soft Power หรือไม่ หากว่ามีจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร หรือหากไม่มีจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร โอกาสในการสร้าง Soft Power ของไทยมีอย่างน้อยใน 3 ช่องทางด้วยกัน คือ
1) ชูจุดเด่น: ด้วยการนำคุณค่าของอัตลักษณ์ถิ่นหรือมรดกทางวัฒนธรรมแปลงให้เป็นมูลค่า จะทำอย่างไรให้ People, Place และ Product ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อสร้าง Attraction ของการเป็น Place to Invest, Product to Buy หรือ People to Work With
2) หาจุดร่วม: พัฒนาจุดร่วมเชื่อมกับประชาคมโลกในประเด็นสำคัญ ๆ อาทิ Rule of Law,Low Carbon Society, Climate Agenda และResponsible Investment Principle อย่าง ESG
3) สร้างจุดเริ่ม: ผลักดันความคิดริเริ่มใหม่ ๆ นวัตกรรมเชิงนโยบายที่ยังไม่มีในโลก อย่าง SEP for SDGs ที่เชื่อมโยงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือการผลักดัน BCG for SDGs ในเวทีการประชุมเอเปค เป็นต้น
จากผลการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้บริหารชาวต่างประเทศทั่วโลกจำนวน 500 ท่าน ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับประเทศไทยหรือคนไทย โดย Kellogg School of Management,Northwestern University พบว่า DNA ของความเป็นไทยสามารถสะท้อนผ่านคุณลักษณ์ 5 F คือ
1) Fun มีความสนุก
2) Favoring มีรสมีชาติ มีสีสันของชีวิต
3) Fulfilling ชอบเติมเต็มให้ทุกอย่างดูสมบูรณ์ขึ้น
4) Friendly มีความเป็นมิตรและ
5) Flexible มีความยืดหยุ่น
“ทั้ง 5 DNA นี้นำมาสู่ความเป็น “Thainess” ทั้งในเรื่องความมีมิตรไมตรีจิต (Hospitality) ที่ไทยได้รับการจัดลำดับเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกมาโดยตลอด เรื่องความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) อย่างในกรณีเหตุการณ์สึนามิในภาคใต้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องการเกื้อกูลแบ่งปัน(Caring & Sharing), ความสุภาพนอบน้อม(Politeness) และความร่าเริงแจ่มใส(Cheerfulness)”
จากผลการสำรวจได้เคยมีการถอดรหัสทั้ง 5 F-DNA ของความเป็นไทยดังกล่าวเพื่อแปลงให้เป็นรูปธรรม ออกมาได้เป็น 5 F Creative Champions ประกอบด้วย Fighting (มวยไทย), Food (อาหาร), Fashion (แฟชั่น), Film(ภาพยนตร์) และ Festival (เทศกาลต่าง ๆ)
การแปลง “Source of Soft Power” ให้เป็น“Use of Soft Power” นั้นสามารถทำได้ผ่าน 3 P ด้วยกัน คือ
1) Place อาทิ Livable City, Creative District, Innovation District, Art & Craft Marketและ OTOP Village
2) People อาทิ Creative Talents, Creative Entrepreneur, Creative Market, Craft Market และ Artisan
3) Product อาทิ Cultural Product, Creative Product, Innovative Product, Sustainable Product
“เมื่อผสมผสานทั้ง 3 P เข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมจะทำให้เกิด Synergy ที่มีพลังมหาศาล จึงอาจกล่าวได้ว่า Place x People x Product = Soft Power ด้วยพลังของ 3 P ทำให้ประเทศไทยติดอันดับโลกในหลายด้าน อาทิ”
อันดับ 1 ของอาเซียน อันดับ 2 ของเอเชีย อันดับ 7 ของโลก ประเทศที่ร่ำรวยมรดกวัฒนธรรม (2021)
อันดับ 6 ประเทศที่มีระบบสุขภาพดีที่สุดของโลก
อันดับ 2 ของโลก ประเทศที่เหมาะกับการลงทุน (2020)
อันดับ 1 ประเทศที่เหมาะในการเริ่มต้นธุรกิจ (2020)
เมนูแกงมัสมั่น เป็นอันดับ 1 อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ตามมาด้วยต้มยำกุ้ง (อันดับที่ 8) และส้มตำ (อันดับที่ 46)
อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ
อันดับ 3 ของโลก ประเทศที่นักเรียนสนใจไปศึกษาต่อ
อันดับ 1 ของอาเซียน อันดับ 3 ของเอเชีย อันดับ 43 ของโลก ประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในปัจจุบันประเทศไทยเริ่มมีการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Moves) ในเรื่องของSoft Power อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการผลักดัน BCG ให้เป็น Global Agenda ผ่านเวทีการประชุมเอเปค การขับเคลื่อน SEP for SDGs ผ่าน UNDP รวมถึงการขับเคลื่อน ESG โดยตลาดหลักทรัพย์ จะเห็นได้ว่า Soft Power นั้นมีหลากหลายมิติ ไม่ใช่เพียงแค่ Entertainment as Soft Power และ Experience as Soft Powerที่พวกเราคุ้นชินเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงSustainability as Soft Power และ Governance as Soft Power ซึ่งจะมีบทบาทที่มากขึ้นในอนาคต
Thailand Soft Power เป็นการถักทออดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งผู้ที่จะสานต่อเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ “เยาวชน” เนื่องจากพลังเยาวชนเป็นพลังที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้นเราต้องช่วยกันสร้าง Youth Empowerment Ecosystem ให้เยาวชนสามารถเปล่งพลังและปลดปล่อยศักยภาพของพวกเขาออกมา ให้เยาวชนได้ Amplify Their Voices, Amplify Their Ideas และ Amplify Their Impact เพื่อเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน Thailand Soft Power ผ่าน “Youth Power ขับเคลื่อน Soft Power” ต่อไป
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://thaipublica.org/2022/08/suvit-maesincee27-soft-power/