นครพนม / 1 สิงหาคม 2565 คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดนครพนม (คทช.จังหวัดนครพนม) จัดเวที “การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.)” เพื่อจัดพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ปส.23-คทช.แปลงใหญ่จำนวน 3 ป่า) และมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในพื้นที่จังหวัดนครพนม ให้กับประชาชนจำนวน 338 ราย/390 แปลง ณ หอประชุมโรงเรียนโพนสวรรค์ราษฎร์พัฒนา อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม โดย รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี และมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนหน่วยราชการ ผู้อำนวยการภาค สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พอช. และประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครพนม เข้าร่วมงาน
โดยจังหวัดนครพนม มีพื้นที่เป้าหมายการดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 6 พื้นที่ เนื้อที่รวม 106,907-2-33 ไร่ ได้รับหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วจำนวน 4 พื้นที่ เนื้อที่รวม55,185-3-31 ไร่ ประกอบด้วยป่าสงวนแห่งชาติป่าดงหมู (ระยะที่ 1) ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยศรีคุณ ป่าสงวนแห่งชาติป่าดงเซกา แปลงที่ 2 (ระยะที่ 1 และ 2) โดยได้ดำเนินการตรวจสอบสิทธิและคุณสมบัติของบุคคลผู้มีรายชื่อ จำแนกประเภทผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินตามลักษณะการครอบครองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จำนวนทั้งสิ้น 4,684 ราย
ทั้งนี้กรมที่ดินดำเนินการจัดทำสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมให้ผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนแล้ว จำนวน 536 ราย และคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด การจัดทำโครงการบ้านมั่นคงชนบทให้กับประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดิน
อย่างไรก็ตาม สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้มีบทบาทในการสนับสนุนชุมชนที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่ป่าพื้นที่จังหวัดนครพนม ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัย การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ผ่าน 3 โครงการสำคัญ คือ โครงการบ้านมั่นคงชนบทตำบลวังตามัว อำเภอเมืองนครพนม งบประมาณ 12.9 ล้านบาท ครอบคลุม 200 ครัวเรือน โครงการบ้านมั่นคงชนบทตำบลโพนสวรรค์ อำเภอโพนสวรรค์ งบประมาณ 12.9 ล้านบาท ครอบคลุม 200 ครัวเรือน และโครงการบ้านมั่นคงตำบลโพนบก อำเภอโพนสวรรค์ ครอบคลุม 174 ครัวเรือน งบประมาณ 11.2 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยทำกินในเขตป่าได้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป