หากพูดถึงกองทุนสวัสดิการชุมชน สำหรับตำบลโนนกอก อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ คงจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว เพราะชาวบ้านที่นี่ได้แปลงรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนจาก “กองทุน” ให้กลายเป็น “กองบุญ” และกองบุญดังกล่าวก็เกิดจากเศษขยะที่เมื่อก่อนคนในชุมชนคิดว่าเป็นของทิ้งและไม่มีค่า แต่พอนำขยะมาปัดฝุ่นและจัดการโดยการคัดแยก ขยะที่ว่าเป็นของไร้ค่ากลับกลายเป็นมูลค่าที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับคนในชุมชนได้อย่างชื่นใจ
ตำบลโนนกอกมีทั้งหมด 10 หมู่บ้าน พื้นที่รวม 50,000 ไร่ ลักษณะภูมิศาสตร์เป็นป่าไม้และภูเขา ร้อยละ 20 ของพื้นที่ นอกนั้นเป็นที่ราบกลางหุบเขา ( ทุ่งนา ) มีเทือกเขาภูเขาแลนคาทางทิศตะวันออก มีความสูง 300 เมตร ถึง 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล และแนวภูกระแตทางด้านทิศตะวันตก มีความสูง 200 เมตร ถึง 400 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทอดตัวจากทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของตำบลเข้าสู่ตอนกลางของตำบลจดลำห้วยหามแห จึงมีความเหมาะสมแก่การเกษตรเป็นส่วนใหญ่ เช่น การปลูกพืชเศรษฐกิจ มันสำปะหลัง อ้อย และรวมถึงมันเทศที่ชาวบ้านเริ่มหันมาปลูกมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถสร้างรายได้ หลังจากที่ราคามันสำปะหลังเริ่มลดลง
และด้วยความเป็นหมู่บ้านที่ทำเกษตรอุตสาหกรรมนี่เอง จึงทำให้ทุกๆเช้าชาวบ้านจะต้องเร่งรีบออกไปไร่ จนไม่ค่อยมีเวลาทำอาหารกินเอง ดังนั้น ทุกอย่างจึงต้องซื้อและขยะก็เป็นผลพลอยตามกันมา
ตำบลโนนกอกมีปัญหาเรื่องขยะ เพราะเกือบครึ่งเป็นครัวเรือนที่มีทำเกษตรกรรม ทั้งปลูกมันเทศ ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง หรือบางครอบครัวก็รับจ้างในไร่คนอื่นเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพ วิถีชีวิตของคนที่นี่จึงไม่ต่างจากคนเมือง ที่ต้องรีบเร่งไปไร่หรือหารับจ้างแต่เช้า อาหารแต่ละมื้อของคนส่วนใหญ่จึงเรียกใช้บริการจากรถพุ่มพวงที่วิ่งเข้ามาจอดกลางบ้าน เพราะตอบสนองความต้องการได้รวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาขยะตามมา โดยเฉพาะกล่องโฟม ถุงพลาสติก ขวด ที่มีปริมาณมากขึ้นทุกวัน และนี่คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การรวมชุมชนเพื่อจัดการกับปัญหาขยะที่มีอยู่เกลื่อดกลาดในชุมชน
นับว่าเป็นโชคดีของชาวบ้านประกอบกับความเอาใจใส่ของผู้นำชุมชน จนต่อมาได้เกิดโครงการร่วมสร้างชุมชนให้น่าอยู่ ภายใต้รูปแบบการจัดตั้งสภาผู้นำชุมชน ที่เน้นให้ชาวบ้านเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและค้นพบสาเหตุที่แท้จริง ว่าที่ผ่านมาชุมชนไม่รู้วิธีการคัดแยกขยะหรือบางคนรู้แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะคัดแยกเพราะไม่รู้ว่าขยะที่พอคัดแยกแล้วจะกลายเป็นของมีค่าที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ และจากข้อมูลที่ชุมชนช่วยกันสำรวจ พบว่า เมื่อก่อนชุมชนมีขยะเกิดขึ้นเฉลี่ยวันละประมาณ 140 กิโลกรัมต่อวัน หรือ 51,100 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งเหล่านี้มีทั้ง ขวดแก้ว ถุงพลาสติก กล่องกระดาษ เศษกระป๋องและโลหะต่างๆ
หลังจากดำเนินโครงการ สมาชิกชุมชนก็ได้เข้ามาร่วมกันออกแบบกิจกรรมที่มีทั้งการอบรมคัดแยกขยะและการเดินทางไปศึกษาดูงานเพื่อหาต้นแบบและสร้างแรงบันดาลใจเพื่อกลับมาเปลี่ยนแปลงชุมชน จนต่อมาชาวบ้านที่นี่ได้ช่วยกันสร้างกติกาที่เรียกว่า ประกาศชุมชน ในเรื่องการจัดการขยะและหนึ่งในกิจกรรมเด่นคือการนำขยะมาบริจาคและให้สมาชิกชุมชนช่วยกันคัดแยกขยะ ที่ไม่เพียงแค่ผู้ใหญ่เท่านั้น หากแต่ยังมีภาพของเด็กๆ ซึ่งพวกเขาเรียกตัวเองว่า “กลุ่มเด็กต้นกล้า” ที่ออกมาช่วยพ่อๆแม่ในทุกๆวันอาทิตย์
ความพิเศษของชุมชนที่นี่ คือขยะที่คัดแยกจะเป็นขยะที่ทุกคนนำมาจากบ้านและจะไม่ได้นำมาขายแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่จะเรียกว่าเป็นการ “บริจาคขยะ” เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายขยะเข้ากองกลางและเงินกองกลางนี้จะกลายเป็นทุนในการจัดสวัสดิการให้กับคนในชุมชน ซึ่งปัจจุบันจากการดำเนินงานในระยะเวลาปีกว่าๆชุมชนมีเงินทุนสะสมจากการขายขยะถึง 90,000 บาท
เมื่อได้เงินจากการขายขยะแล้วก็จะนำมาจัดสวัสดิการให้สมาชิกชุมชน ซึ่งระบบสวัสดิการของชุมชนโนนกอก จะครอบคลุมการดำเนินชีวิตของชาวบ้านตั้งแต่ เกิด แก่ เจ็บ จนกระทั่งเสียชีวิต โดยแบ่งเป็นกรณีที่มีเด็กเกิดใหม่ในหมู่บ้านจะมีเงินรับขวัญเด็ก 500 บาท และยังมีเงินให้กับแม่ที่คลอดซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ค่าช่วยเบ่ง” อีก 500 บาท กรณีที่สมาชิกชุมชนป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็จะมีเงินช่วยเหลือให้คืนละ 200 บาท และให้ญาติที่เฝ้าผู้ป่วยอีกคืนละ 100 บาท สูงสุดไม่เกิน 10 คืน และกรณีเสียชีวิตก็จะมีเงินช่วยเหลือรายละ 3,000 บาท แต่มีข้อแม้คือสมาชิกครัวเรือนจะได้สิทธิ์เหล่านี้ก็ต่อเมื่อนำขยะมาบริจาคอย่างต่อเนื่องตามกติกาที่วางไว้ ซึ่งถ้าครัวเรือนไหนไม่นำขยะมาบริจาคในแต่ละสัปดาห์ ก็จะมีการทำเครื่องหมายดอกจันทร์สีแดงลงในสมุดบันทึกแล้วถ่ายรูปเข้าไลน์กลุ่มให้สมาชิกชุมชนทุกคนรับทราบ ซึ่งเป็นรูปแบบในการกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนทำตามกติกาที่มีการนำสื่อสมัยใหม่อย่างไลน์เข้ามาใช้ในหมู่บ้าน
แม้เงินที่ได้รับจากการจัดสวัสดิการโดยคนในชุมชนอาจดูเหมือนไม่มากสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับชุมชนที่ต้องทำมาหากินแบบวันต่อวัน ที่พอมีคนในบ้านเจ็บป่วยขึ้นมานั่นหมายถึงรายได้จะต้องขาดไปและยังมีญาติที่ต้องไปเฝ้าไข้ทำให้รายได้ยิ่งน้อยลง ซึ่งเงินสวัสดิการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ นับว่าเป็นกำลังใจชั้นดีให้กับสมาชิกชุมชน
โดยวิถีของคนอีสานนั้นมักชอบที่จะทำบุญ และสถานที่ทำบุญที่ง่ายที่สุดคือการเข้าวัด เพราะเป็นความเชื่อในเรื่องพระพุทธศาสนาที่มีมานานในการสั่งสมบุญ แต่ที่ชุมชนโนนกอกแห่งนี้ บุญที่พวกเขาสร้างไม่ได้เกิดอยู่ในวัดแห่งเดียว หากแต่อยู่ในชุมชนที่พวกเขาดูแลกันเองก็เป็นบุญได้เหมือนกัน และบุญที่ว่านี้เกิดจากเศษขยะที่ไร้ค่า ที่พอนำมาปัดฝุ่นจัดการและคัดแยกก็จะกลายเป็นของมีราคาที่แปลงเป็นเงิน จนกลายเป็นทุนสำหรับจัดสวัสดิการให้แก่กันและกัน นับเป็นรูปแบบการพึ่งตนเองของชุมชนที่ไม่ต้องรอหน่วยงานภาครัฐฝ่ายเดียว ซึ่งภาพรอยยิ้มของเด็กๆและผู้ใหญ่ที่นี่ คงจะเป็นประจักษ์พยานที่ดีว่า วันนี้พวกเขามีความสุขจาก “กองบุญ” ที่เกิดจากเศษขยะที่เมื่อก่อนเคยไร้ค่าแต่วันนี้กลับสร้างราคาและกลายเป็นสวัสดิการให้กับทุกคน