
ชุมแพพลเมืองหนาแน่น ดินแดนต่อแคว้นภูเวียง ภูเขียวอยู่ทิศเฉียงๆ ติดทางเมียงก็เกษตรสมบูรณ์ ติดทางเมียงก็เกษตรสมบูรณ์ โอโฮ้โอกะสิโอโฮโอ โอ…. หลายคนรู้จักชุมแพก็เพราะเพลงนี้หล่ะครับ ชื่อเพลงว่า สาวชุมแพ ร้องโดย ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ผมจะเล่าย้อนเรื่องราวให้หลับตาคิดตามกันไปนะครับ “เมืองชุมแพ” เป็นปากประตูเชื่อมภาคอีสานกับภาคเหนือตอนล่าง เมืองชุมแพจึงเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญ มีคนมากมายหลายจังหวัดอพยพเข้ามาทำมาหากินในตัวเมือง คนที่มีเงินก็จะเช่าหรือซื้อที่ดินปลูกสร้างบ้านเรือน พี่น้องที่หาเช้ากินค่ำ จึงต้องบุกเบิกที่ดินรกร้างซึ่งไม่รู้ว่าที่ดินของใคร ปลูกสร้างเพิงที่พักขึ้นมาให้พอคุ้มหัวนอน หารายได้ด้วยการรับจ้างทั่วไป ขายของอยู่ในตลาด แล้วแต่จะมีต้นทุน บ้างก็เร่ขายของตามคิวรถ การหลั่งไหลเข้ามาของผู้นักเผชิญโชคจากทั่วสารทิศทำให้เกิดเป็นชุมชนกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในเมืองชุมแพ บ้านเรือนเหล่านี้ส่วนใหญ่ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินรกร้างของราชพัสดุที่เทศบาลดูแลอยู่ นานวันเข้าจึงกลายเป็นชุมชนแออัด มีสภาพเสื่อมโทรม และเนื่องจากปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่บนที่ดินบุกรุก ไม่มีเลขที่บ้าน จึงไม่สามารถขอใช้น้ำประปาและไฟฟ้าจากรัฐได้โดยตรง ต้องซื้อต่อพ่วงเข้ามาในราคาแพง ขณะที่บ้านเรือนก็ไม่มีความมั่นคง เพราะเทศบาลมักจะส่งเจ้าหน้าที่มาปิดประกาศขับไล่อยู่บ่อยๆ
ปี 2547 รัฐได้มีนโยบายการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย โดยให้ พอช. จัดทำโครงการบ้านมั่นคง แม่สนองได้เป็นแกนนำรวบรวมชาวบ้าน จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมาออมเงินกันเป็นรายวันๆ ละอย่างน้อย 40 บาท หรือครอบครัวละ 1,200 บาท ต่อเดือน เพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้านและเข้าสู่กระบวนการบ้านมั่นคง มีการประชุมร่วมกันเพื่อออกแบบบ้านและผังชุมชนตามที่ชาวบ้านต้องการ ไม่นานบ้านหลังใหม่ในฝันของพี่น้องคนจนก็เป็นความจริง และเพื่อความเป็นศิริมงคล ชาวบ้านจึงร่วมกันตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านมั่นคงร่มเย็น”

ชุมชนบ้านมั่นคงบ้านร่มเย็น
หลังจากเริ่มจัดทำโครงการบ้านมั่นคงไปแล้ว ชาวบ้านจึงมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกันและเห็นความสำคัญของการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือกัน ในปี 2550 ชาวชุมชนบ้านมั่นคงเมืองชุมแพรวม 13 ชุมชน ได้ร่วมกันก่อตั้ง “กองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองชุมแพ” โดยให้ชาวบ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกและสมทบเงินเข้ากองทุนทุกเดือน แล้วนำเงินกองทุนให้สมาชิกกู้ยืมหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพ ปลดหนี้นอกระบบ ซ่อมแซมบ้าน และเพื่อการศึกษา ฯลฯ วงเงินไม่เกิน 5 เท่าของหุ้นสะสมที่สมาชิกมีอยู่ ส่วนผลกำไรก็จะกลับคืนมาช่วยเหลือสมาชิก ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 12 ล้านบาทเศษ โดยเทศบาลเมืองชุมแพได้สนับสนุนเงินเข้ากองทุนจำนวน 2 ล้านบาท และมูลนิธิศูนย์ศึกษาและพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งเอเซียสมทบ 1 ล้านบาท

จนถึงวันนี้ เมืองชุมแพมีโครงการบ้านมั่นคงแล้ว จำนวน 13 ชุมชน มีบ้านจำนวน 1,052 หลัง จากเดิมที่ชาวบ้านเคยบุกรุกและโดนขับไล่ วันนี้พวกเขามีบ้านที่มั่นคง มีเลขที่บ้าน สามารถติดตั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้โดยตรง จากที่เคยเช่าบ้านเดือนละ 2,000-3,000 บาท ก็เหลือภาระที่ต้องผ่อนบ้านแค่เดือนละ 1,500-2,000 บาท ทำให้มีรายจ่ายลดลง และอีกไม่นานชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะปลดหนี้เงินกู้ที่ยืมมาสร้างบ้านให้หมดไป และปีนี้(2563)หลายครอบครัวจะผ่อนบ้านหมดแล้ว

ต่อยอดจากเรื่องบ้าน สู่ นารวมและโรงงานน้ำดื่ม
ปี 2553 ชาวชุมชนบ้านมั่นคงเมืองชุมแพ ได้มองถึงความมั่นคงด้านอาหารจึงนำไปสู่การซื้อที่ดินเพื่อทำนารวมแบบเกษตรอินทรีย์ เนื้อที่ 38 ไร่ เป็นที่ดินของธนาคารออมสิน อยู่ไม่ไกลจากบ้านมั่นคงร่มเย็นมากนัก โดย พอช.ได้สนับสนุนสินเชื่อจำนวน 2.6 ล้านบาท มีสมาชิกจากเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองชุมแพร่วมลงหุ้นรวม 150 หุ้นๆ ละ 150 บาท เพื่อเป็นทุนในการทำนา โดยมีการบริหารจัดการในรูปแบบคณะกรรมการนา มีผู้จัดการนาคอยดูแลและวางแผนการผลิต และให้สมาชิกช่วยกันลงแรงทำนา ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมีปราบแมลง

นารวม
ผมได้คุยกับ พี่ศรีอาน ประดา “ผู้จัดการนา” ตำแหน่งดูเท่ห์ดี แต่ไม่มีเงินเดือน เล่าให้ฟังว่า ทำงานนี้ด้วยใจรักและเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม บอกว่า ตำแหน่งผู้จัดการนาจะต้องวางแผนในการทำนา เช่น ต้องรู้เรื่องฝนฟ้าว่าปีไหนน้ำจะมากจะน้อย จะได้วางแผนได้ถูกต้อง จะหว่าน จะดำช่วงไหน จะได้ขอแรงจากชาวบ้านและสมาชิก หากเป็นช่วงแล้งก็จะให้สมาชิกปลูกมันแก้วเพราะเป็นพืชทนแล้ง

ศรีอาน ประดา ผู้จัดการนารวม
นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่เป็นแปลงผักและขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชผักต่างๆ เช่น พริก ผักชี ผักกาด หอม บวบ ฟักทอง ข้าวโพด กล้วย ฯลฯ โดยไม่ใช้สารเคมี ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยสดที่มีอยู่ในท้องไร่ท้องนา และเลี้ยงปลาในบ่อ มีปลานิล ตะเพียน ปลาดุก รวมแล้วหลายหมื่นตัว และมีแผนจะขุดบ่อน้ำอีกเพื่อเก็บน้ำเอาไว้ทำนาในหน้าแล้ง เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน ไม่ต้องกลัวอดอยากอีกต่อไป
“ผักที่ปลูกและปลาในบ่อ สมาชิกคนไหนที่มาช่วยงานจะเก็บหรือจับเอาไปกินก็ได้ เราไม่หวง แต่ให้เอาไปกินแต่พอเพียง เป็นการลดรายจ่ายในครอบครัว และต่อไปเราจะทำโรงสีขนาดเล็กเพื่อสีข้าวเอง ทำให้ได้ปลายข้าวและรำ เอาไปเลี้ยงหมู ไก่ ปลาได้อีก ไม่ต้องซื้ออาหารเม็ด เป็นการเลี้ยงแบบอินทรีย์”

บ่อปลาและพืชผักหลากชนิด
ปัจจุบัน (ปี2563) นารวมแห่งนี้สามารถปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ขายเป็นรายได้เข้ากองทุนปีละกว่า 200,000 บาท อีกทั้งที่นายังมีราคาสูงกว่าเดิมหลายเท่า จากราคาที่ซื้อมา 2.6 ล้านบาท แต่วันนี้มีราคาประเมินประมาณ 38 ล้านบาท และที่สำคัญก็คือ ที่นาแปลงนี้ชาวบ้านร่วมกันผ่อนชำระเงินกู้คืน พอช.หมดแล้ว

โรงน้ำดื่มเครือข่ายบ้านมั่นคงชุมแพ
ปี 2558 ชาวชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่ม”บ้านมั่นคงเมืองชุมแพ” โดยการระดมหุ้นได้เงินประมาณ 800,000 บาท มีกำลังการผลิตวันละประมาณ 200 โหล (ผลิตทั้งชนิดขวดและถัง) เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายชาวบ้านมั่นคง หน่วยงานราชการต่าง ๆ องค์กรชุมชนทั้งในและนอกพื้นที่ รวมไปถึงกลุ่มคนทั่วไป สามารถทำรายได้เข้าชุมชนประมาณเดือนละ 100,000 บาทเศษ มีมูลค่าการลงทุนทั้งหมดประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งอีกไม่นานโรงงานน้ำดื่มแห่งนี้ก็จะถึงจุดคุ้มทุน
ขอจบไว้ก่อนเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ มีเรื่องเล่าอีกมากมายสำหรับบ้านมั่นคงเมืองชุมแพ เล่ากัน 3 วัน 3 คืน ก็ยังไม่จบ ไม่ว่าเรื่องกว่าจะมาเป็นบ้าน 1,052 หลัง เรื่องกิจกรรมต่างๆที่ยึดโยงเกาะเกี่ยวความเป็นพี่น้องเครือข่าย มีเรื่องราวที่ต้องเล่าให้ฟังอีกเยอะ คอยติดตามแล้วกันคร้าบบบบบ…
โดย : ธิปไตย ฉายบุญครอง











